‘JKN’ เปิดยุทธศาตร์ตอกย้ำผู้นำลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับอาเซียน จับมือพันธมิตรกลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำของโลก เสริมศักยภาพดำเนินธุรกิจ รับแผนย้ายเข้าซื้อขายใน SET
‘บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย’ (JKN) เปิดแผนธุรกิจปี 63 ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในภูมิภาคอาเซียน จับมือ ‘EXIM Bank’ ค้ำประกันการเก็บหนี้จากลูกค้าต่างประเทศเพื่อบริหารความเสี่ยง หลังตั้งเป้ารักษาสัดส่วนรายได้ต่างประเทศมากกว่า 30% พร้อมควง ‘มอร์แกน สแตนลีย์’ (Morgan Stanley) ต่อยอดแสวงหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติม ดันศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้นและเติบโตอย่างยั่งยืน
จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล เปิดเผยว่า ทิศทางดำเนินธุรกิจของ JKN ปี 2563 มีเป้าหมายขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น เพื่อผลักดันการเติบโต 10-15% หรือมีรายได้แตะ 2,000 ล้านบาท ผ่านกลยุทธ์ความร่วมมือกับพันธมิตรจากสถาบันการเงินชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ รองรับแผนรุกขยายธุรกิจลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่มีความหลากหลายจาก 8 กลุ่มคอนเทนต์ ครอบคลุมทุกความบันเทิงและสาระความรู้ให้แก่ผู้ชมทั่วโลก เพื่อสร้างการรับรู้ให้ JKN ก้าวสู่การเป็น ‘Enriching the consumer’s experience worldwide with diverse global contents for sustainable growth’ หรือ ผู้รังสรรค์ประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากคอนเทนต์ที่หลากหลายระดับโลกเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับแผนงานในประเทศ บริษัทฯ รุกจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ประเภทซีรีส์อินเดีย ฟิลิปปินส์ และสารคดีแบรนด์ชั้นนำระดับโลกผ่านทุกแพลตฟอร์ม ทั้งช่องทางทีวีดิจิทัล ทีวีดาวเทียม และวีดีโอออนดีมานต์ (VOD) โดยได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่ซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปออกอากาศเพิ่มเติม เช่น ช่อง 8, ช่อง GMM 25 หลังปรับนโยบายซื้อคอนเทนต์ออกอากาศแทนการผลิตรายการเองเพื่อลดต้นทุนช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ช่องทางรับชมผ่านวีดีโอออนดีมานด์และทีวีดาวเทียมยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเช่นกัน ดังนั้น JKN จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางดังกล่าวมากขึ้น
ส่วนตลาดต่างประเทศ JKN มุ่งขยายฐานลูกค้าซีรีส์อินเดีย ฟิลิปปินส์ ในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) เพิ่มเติม เนื่องจากมีศักยภาพการเติบโตสูงจากพฤติกรรมรับชมคอนเทนต์ที่คล้ายคลึงกับคนไทย ขณะที่ซีรีส์ละครไทยจากช่อง 3 บริษัทฯ ได้เจาะกลุ่มสถานีโทรทัศน์รายใหม่และแพลตฟอร์มต่างๆ ในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ รวมถึงรุกตลาดในกลุ่มประเทศละตินอเมริกาเพิ่มเติม โดยตั้งเป้ารักษาสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศกว่า 30% ของรายได้รวม
“บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เพิ่มศักยภาพในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเอ็กซิมแบงก์จะช่วยตรวจสอบมาตรฐานทางการเงินของคู่ค้าด้านการชำระเงินก่อนมีการซื้อขายคอนเทนต์ พร้อมทั้งรับประกันความเสี่ยงแทน JKN หากกรณีคู่ค้าในต่างประเทศเกิดมีการผิดนัดชำระ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ ส่งผลให้ JKN สามารถลดความเสี่ยงจากการดำเนินงานธุรกิจต่างประเทศ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่ม มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) บริษัทข้ามชาติด้านบริการทางการเงินระดับโลก ที่ต้องการแสวงหาโอกาสการลงทุนต่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่ง Morgan Stanley ได้มีการศึกษาธุรกิจเพื่อร่วมลงทุนในบริษัทสื่อขนาดใหญ่ของประเทศไทย และได้ตัดสินใจเลือกลงทุนกับ JKN ด้วยเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโต และเชื่อว่าจากการร่วมลงทุนในครั้งนี้ จะช่วยผลักดันให้ JKN ก้าวสู่การเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ชั้นนำระดับโลกได้ โดยกองทุน North Haven Thai Private Equity ในกลุ่ม Morgan Stanley ได้ซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพอายุ 5 ปี วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท และบริษัทฯ จะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งตัวแทนจาก North Haven Thai Private Equity เข้ามาเป็นกรรมการบริษัทเพื่อร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์และแผนขยายธุรกิจของ JKN ในอนาคต โดยการออกหุ้นกู้แปลงสภาพดังกล่าวมี บล.คันทรี่ กรุ๊ป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ธีรภัทร เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี กล่าวว่า บริษัทฯ วางแผนนำ JKN ย้ายเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดว่ากระบวนการจะแล้วเสร็จภายในครึ่งปีหลัง โดยใช้เกณฑ์ Profit Test ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ บริษัทฯ จะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล คิดเป็นจำนวน 67.5 ล้านหุ้น และจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดอีกหุ้นละ 0.14 บาท พร้อมดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 104.8 ล้านหุ้น ในราคาพาร์ 0.50 บาท หรือคิดเป็น 52.4 ล้านบาท เพื่อรองรับการจ่ายปันผล การปรับสิทธิของหุ้นกู้แปลงสภาพ และปรับสิทธิใบแสดงสำคัญแสดงสิทธิ JKN-W1 ส่งผลให้มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเพิ่มเป็น 303.75 ล้านบาท คิดเป็น 607.5 ล้านหุ้น เข้าเกณฑ์ตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากเดิมบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนที่เรียกและชำระแล้วจำนวน 270 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น จำนวน 540 ล้านหุ้น